ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าจะใช้เครื่องปรับอากาศขนาดเท่าใดก่อน โดยขนาดของเครื่องปรับอากาศเราจะเรียกว่า BTU ( British Thermal Unit ) โดย 1 BTU จะใช้พลังงานเท่ากับ 1055.05585 จูลส์ ( Joules )
วิธีคำนวณว่าจะซื้อเครื่องปรับอากาศขนาดกี่ BTU ก็ต้องใช้ขนาดของห้องมาเป็นตัวคำนวณซึ่งได้แก่
กว้างxยาวx800 เช่น ห้องนอนขนาด 4x5 เมตร จะเข้าสูตรดังนี้ ( ห้องสูงไม่เกิน 3 เมตร )
4x5x800 = 16000
สรุปว่าห้องนอนห้องนี้ต้องใช้แอร์ขนาด 16000 BTU เป็นต้น ทั้งนี้ถ้าผลคูณออกมามากๆ เช่น 25000 BTU เราอาจจะไม่ต้องซื้อเครื่องปรับอากาศขนาดที่ว่ามาใช้ก็ได้ เพราะราคาจะสูงเอามากๆ ก็ให้ซื้อเครื่องปรับอากาศขนาด 12500 BTU มาใช้ 2 ตัวก็ได้ เช่นกัน เพราะว่าการที่เราไม่คำนวณก่อนที่จะซื้อ จะส่งผลให้ได้เครื่องปรับอากาศที่ทำงานไม่สัมพันธ์กับขนาดห้อง หรือจะเลือกตามตารางด้านล่างนี้
พื้นที่ห้องตามความสูงปกติ
( ตารางเมตร ) |
ขนาดของเครื่องปรับอากาศ
( บีทียู / ชั่วโมง ) |
13 - 14 |
7,000 - 9,000 |
16 - 17 |
9,000 - 11,000 |
20 |
11,000 - 13,000 |
23 - 24 |
13,000 - 16,000 |
30 |
18,000 - 20,000 |
40 |
24,000 |
กล่าวคือ ถ้าขนาด BTU น้อยกว่าปริมาตรห้อง จะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก เพราะห้องไม่เย็นเสียที เครื่องจึงไม่ค่อยได้ตัดพักบ้าง แต่ถ้าขนาด BTU มากกว่าปริมาตรห้อง ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินซื้อเครื่องใหญ่มาแพงโดยใช่เหตุ
ทั้งนี้การซื้อเครื่องปรับอากาศก็ควรที่จะเปรียบเทียบรุ่นแต่ละยี่ห้อตามขนาดที่ต้องการ ว่าแต่ละรุ่นมีข้อดีข้อด้อยอะไรบ้าง ซึ่งสมัยนี้มักจะมีระบบฟอกอากาศในตัวเกือบทุกเครื่อง ความเงียบในการทำงานก็สำคัญ รวมทั้งบริการติดตั้งว่ามีความเรียบร้อยในการเดินท่อเครื่องปรับอากาศหรือไม่
สำหรับเครื่องปรับอากาศบางรุ่นก็ได้มีการโฆษณาว่าสามารถประหยัดไฟได้มากกว่าค่ามาตรฐานเบอร์ 5 เลยทีเดียว ก็ต้องลองเปรียบเทียบคุณสมบัติและราคาที่เราจะซื้อให้เหมาะสมที่สุดครับ
ส่วนการเลือกรูปแบบของเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นแบบติดบนเพดาน แบบติดผนัง หรือแบบตั้งพื้น ก็คงต้องขึ้นกับสภาพการจัดและตกแต่งของเครื่องใช้ภายในห้องเป็นสำคัญ แบบตั้งพื้นจะมีข้อเสียเปรียบตรงที่กว่าจะให้ลมเย็นทั่วทั้งห้อง ต้องเสียเวลามากกว่าแบบติดบนเพดาน และแบบติดผนังครับ |